1. การเดาความหมายจากข้อความแวดล้อม (Context clues)
ตัวอย่างเช่น Elvis Presley was afraid of being assassinated, and he wore a bullet-proof vest, but he couldn't stay away from the crowds who loved him.
จากประโยคข้างต้น ความหมายของคำว่า assassinate น่าจะหมายถึง ฆ่า เพราะข้อความที่ตามมาบอกว่า เขาใส่เสื้อเกราะกันกระสุน ดังนั้นสิ่งที่ Elvis Presley กลัวก็น่าจะหมายถึงการถูกฆ่าหรือจากตัวอย่างเช่น
His sister is so indolent. She sleeps late and never does chores unless yelled at.
คำว่า indolent น่าจะหมายความว่า ขี้เกียจ เพราะจากประโยคที่ตามมาว่าเธอหลับดึกและไม่ทำงานบ้าน นอกจากจะถูกตะโกนสั่ง
2. การเดาความหมายโดยวิธีแยกรากศัพท์
เราอาจแยกส่วนประกอบของคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ยาวๆ ออกเป็น Prefix, Root และ/หรือ Suffix โดยที่ Prefix หมายถึง คำที่วางหน้าส่วน Root (รากศัพท์) แล้วทำให้เกิดความหมายหรือทำให้ความหมายของ Root นั้นเปลี่ยนไป เช่น
ตัวอย่างเช่น Elvis Presley was afraid of being assassinated, and he wore a bullet-proof vest, but he couldn't stay away from the crowds who loved him.
จากประโยคข้างต้น ความหมายของคำว่า assassinate น่าจะหมายถึง ฆ่า เพราะข้อความที่ตามมาบอกว่า เขาใส่เสื้อเกราะกันกระสุน ดังนั้นสิ่งที่ Elvis Presley กลัวก็น่าจะหมายถึงการถูกฆ่าหรือจากตัวอย่างเช่น
His sister is so indolent. She sleeps late and never does chores unless yelled at.
คำว่า indolent น่าจะหมายความว่า ขี้เกียจ เพราะจากประโยคที่ตามมาว่าเธอหลับดึกและไม่ทำงานบ้าน นอกจากจะถูกตะโกนสั่ง
2. การเดาความหมายโดยวิธีแยกรากศัพท์
เราอาจแยกส่วนประกอบของคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ยาวๆ ออกเป็น Prefix, Root และ/หรือ Suffix โดยที่ Prefix หมายถึง คำที่วางหน้าส่วน Root (รากศัพท์) แล้วทำให้เกิดความหมายหรือทำให้ความหมายของ Root นั้นเปลี่ยนไป เช่น
Re- = again : Reuse = use again Reload = load again Reheat = heat again Inter- = between : Interact = act in between En- or Em- + adj. = to make : Ensure = to make sure Enlarge = to make large En- or Em- + n. or v. = to put into or on : Endanger = to put into danger Empanel = to put in a panel |
ส่วน Root หรือรากศัพท์ เป็นส่วนที่เราต้องเพ่งความสนใจเป็นพิเศษเพราะมันเป็นส่วนที่ให้ความหมายหลัก แต่ก็เป็นส่วนที่เราต้องจำมากที่สุดด้วย เช่น
aqua = water : Aquarium = an artificial pond for water creatures fact = make,do : Manufacture = to make (goods) using machinery ject = throw : Trajectory = a path of something thrown in the air vert = turn,change : Convert = to change from one form to another port = carry : Portable = that can be easily carried |
สุดท้ายก็เป็น Suffix ซึ่งเป็นส่วนที่บอกถึงหน้าที่ (Part of speech) ของคำนั้นๆ เช่น
Portable (adjective) = that can be easily carried Portably (adverb) = in the way that can be easily carried Portage (noun) = (cost of) carrying goods ; carrying boats Portative (adjective) = of carrying ; able to be carried |
อย่างไรก็ตาม การเดาความหมายโดยวิธีแยกรากศัพท์นี้ไม่สามารถใช้ได้กับคำศัพท์ทุกคำ เพราะคำบางคำ มีที่มาจากคำเฉพาะของมันเอง ไม่ได้เกิดจากการประกอบกันของ Prefix, Root และ Suffix ดังกล่าว เช่นคำว่า Injury (n) แปลว่า การบาดเจ็บ ไม่ได้เกิดจากคำว่า In (ที่เราอาจเผลอคิดไปว่าเป็น Prefix) ต่อกับคำว่า Jury
(ที่เราคิดว่าเป็น Root) ที่แปลว่าคณะลูกขุน จะเห็นว่า Injuryไม่ได้มีความหมายเกี่ยวอะไรกับคณะลูกขุนเลย เป็นต้น
**ถ้าเราวิเคราะห์ให้ลึกๆ อีกที เราจะทราบว่าเมื่อเราทดลองแยกรากศัพท์แล้วส่วนของ Root ที่ถูกแยกออกจาก Prefix และ Suffixมักจะเป็นรากศัพท์ของกรีกหรือลาตินซึ่งไม่ได้มีความหมายตรงกับความหมายของคำๆนั้นเมื่อเป็นคำภาษาอังกฤษโดยตัวมันเองตัวอย่างเช่น
Tangent(n) = a straight line that touches the outside of a curve
ซึ่งสามารถแยกออกเป็น Root ซึ่งก็คือ Tang เป็นรากศัพท์หมายถึง touch แต่คำว่า Tangนี้เองก็เป็นคำในภาษาอังกฤษโดยตัวมันเองซึ่งแปลว่า รสชาด(เปรี้ยว)จี๊ดหรือกลิ่นฉุน จะเห็นว่าคำแปลของ Tangent นั้นไม่เกี่ยวข้องกับรสชาติหรือกลิ่นฉุนเลย
**จุดนี้เราต้องแยกให้ออก คราวนี้มาถึงขั้นตอนของการแยกรากศัพท์ ขั้นแรกต้องแยก Prefix หรือ Suffix ออกไปก่อน โดยนึกถึง Prefix/Suffix ที่เราคุ้นเคย แล้วจึงค่อยมาพิจารณา Root ทีหลัง บางครั้งเราอาจต้องใช้วิธีทดลองแยกหลายๆ แบบ ถ้าเราไม่รู้จัก Prefix/Suffix นั้นๆ เช่น คำว่า Dermatitis ถ้าแยกเป็น De- + rmat + -itis เพราะคิดว่าคำนี้มี Prefix เป็น De- (หมายถึงทำให้เลวลง,ลดลง) และ Suffix เป็น -itis (หมายถึงการอักเสบ) จะเห็นว่า Root "rmat"นั้นไม่มีความหมาย หรือถ้าแยกเป็น Derm- + atit + is โดยคิดว่า Derm- เป็น Prefix ที่แปลว่าเกี่ยวกับผิวหนัง Root "atit" และ Suffix "is" ก็ไม่มีความหมายอีกที่จริงแล้วต้องแยกเป็น Dermat- + itis โดย Dermat- เป็น Root แปลว่าผิวหนังหรือเกี่ยวกับผิวหนัง ส่วน -itis เป็น Suffix หมายถึงการอักเสบ เพราะฉะนั้นคำว่า Dermatitis ก็คือการอักเสบของผิวหนัง นั่นเอง
**สังเกตว่าคำนี้ไม่มี Prefix ดังนั้นจะเห็นว่า คนที่มีความรู้เรื่อง Root, Prefix และ Suffix มากๆ จะสามารถเข้าใจความหมายของคำศัพท้มากมาย
(ที่เราคิดว่าเป็น Root) ที่แปลว่าคณะลูกขุน จะเห็นว่า Injuryไม่ได้มีความหมายเกี่ยวอะไรกับคณะลูกขุนเลย เป็นต้น
**ถ้าเราวิเคราะห์ให้ลึกๆ อีกที เราจะทราบว่าเมื่อเราทดลองแยกรากศัพท์แล้วส่วนของ Root ที่ถูกแยกออกจาก Prefix และ Suffixมักจะเป็นรากศัพท์ของกรีกหรือลาตินซึ่งไม่ได้มีความหมายตรงกับความหมายของคำๆนั้นเมื่อเป็นคำภาษาอังกฤษโดยตัวมันเองตัวอย่างเช่น
Tangent(n) = a straight line that touches the outside of a curve
ซึ่งสามารถแยกออกเป็น Root ซึ่งก็คือ Tang เป็นรากศัพท์หมายถึง touch แต่คำว่า Tangนี้เองก็เป็นคำในภาษาอังกฤษโดยตัวมันเองซึ่งแปลว่า รสชาด(เปรี้ยว)จี๊ดหรือกลิ่นฉุน จะเห็นว่าคำแปลของ Tangent นั้นไม่เกี่ยวข้องกับรสชาติหรือกลิ่นฉุนเลย
**จุดนี้เราต้องแยกให้ออก คราวนี้มาถึงขั้นตอนของการแยกรากศัพท์ ขั้นแรกต้องแยก Prefix หรือ Suffix ออกไปก่อน โดยนึกถึง Prefix/Suffix ที่เราคุ้นเคย แล้วจึงค่อยมาพิจารณา Root ทีหลัง บางครั้งเราอาจต้องใช้วิธีทดลองแยกหลายๆ แบบ ถ้าเราไม่รู้จัก Prefix/Suffix นั้นๆ เช่น คำว่า Dermatitis ถ้าแยกเป็น De- + rmat + -itis เพราะคิดว่าคำนี้มี Prefix เป็น De- (หมายถึงทำให้เลวลง,ลดลง) และ Suffix เป็น -itis (หมายถึงการอักเสบ) จะเห็นว่า Root "rmat"นั้นไม่มีความหมาย หรือถ้าแยกเป็น Derm- + atit + is โดยคิดว่า Derm- เป็น Prefix ที่แปลว่าเกี่ยวกับผิวหนัง Root "atit" และ Suffix "is" ก็ไม่มีความหมายอีกที่จริงแล้วต้องแยกเป็น Dermat- + itis โดย Dermat- เป็น Root แปลว่าผิวหนังหรือเกี่ยวกับผิวหนัง ส่วน -itis เป็น Suffix หมายถึงการอักเสบ เพราะฉะนั้นคำว่า Dermatitis ก็คือการอักเสบของผิวหนัง นั่นเอง
**สังเกตว่าคำนี้ไม่มี Prefix ดังนั้นจะเห็นว่า คนที่มีความรู้เรื่อง Root, Prefix และ Suffix มากๆ จะสามารถเข้าใจความหมายของคำศัพท้มากมาย
การเดาคำศัพท์โดยดูจากคำเชื่อมที่บอกคำจำกัดความ
หรือนิยาม (Definition)
คำเชื่อมเหล่านี้ ได้แก่
to be be called
mean ( gled) called
to be know as refer to
can be defined as can be thought of
ตัวอย่างที่ 1
A body of water surrounded by land is usually called a lake.
lake = a body of water surrounded by land
ตัวแนะ = is called
ตัวอย่างที่ 2 A committee may be defined as any group interacting in regard
to a common purpose.
committee = any group interacting in regard
to a common purpose
ตัวแนะ = be defined as
หรือนิยาม (Definition)
คำเชื่อมเหล่านี้ ได้แก่
to be be called
mean ( gled) called
to be know as refer to
can be defined as can be thought of
ตัวอย่างที่ 1
A body of water surrounded by land is usually called a lake.
lake = a body of water surrounded by land
ตัวแนะ = is called
ตัวอย่างที่ 2 A committee may be defined as any group interacting in regard
to a common purpose.
committee = any group interacting in regard
to a common purpose
ตัวแนะ = be defined as
1.2 การเดาคำศัพท์โดยดูจากคำเชื่อมที่แสดงการพูดซ้ำความหมาย
(Renaming or Restatement)
คำเชื่อมเหล่านี้ ได้แก่
or that is to say ( หรือ i.e.)
that is in other words
to put in another way viz ( อ่านว่า namely)
ตัวอย่างที่ 1
You can take an escalator, or a moving staircase, to go down to the plateform. escalator = a moving staircase
ตัวแนะ = or
ตัวอย่างที่ 2
These two circles are concentric. In other words, they have the same center.
concentric = having the same center
ตัวแนะ = in other words
1.3 การเดาคำศัพท์โดยดูจากคำเชื่อมที่แสดงการเปรียบเทียบที่คล้ายคลึงกัน
(Similarity)
คำเชื่อมเหล่านี้ ได้แก่
as like
as...........as alike
likewise as if
similar just as
just the same as in the same way
comparity compared with
as though
ตัวอย่างที่ 1
Like John who loves to stroll in the park, Jane thinks it is a good
way to spend an evening walking in the park. stroll = walking
ตัวแนะ = like
ตัวอย่างที่ 2 If you invert the letter "W" you will get the letter "M". In the same way,
you get the letter "u" by turning the letter "n" upside down. invert = turning the upside down
ตัวแนะ = in the same way
1.4 การเดาคำศัพท์โดยดูจากคำเชื่อมที่แสดงความขัดแย้ง
(Contrast and Concession)
คำเชื่อมเหล่านี้ ได้แก่
but/yet though / although/
eventhough however / nevertheless
on the other hand
while / whereas on the contrary
in contrast as opposite to in spite of despite
ตัวอย่างที่ 1
Some people endure great suffering without complaining at all,
while those who cannot cope with pain complain endlessly.
ประโยคนี้มีคำเชื่อมคือ while เชื่อมข้อความที่ขัดแย้งกัน ข้อความแรกกล่าวว่า
บางคน "endure" ความทุกข์ยากลำบากได้โดยไม่บ่นเลย ข้อความหลังกล่าวว่า
แต่บางคนที่ไม่สามารถทนกับความทุกข์ เจ็บปวดได้ (cannot cope with pain)
จะบ่นโดยไม่มีที่สิ้นสุด (complain endlessly) ข้อความหลังจะมีความหมายตรงข้าม
กับข้อความแรก ดังนั้นพอจะเดาได้ว่า endure ซึ่งตรงข้ามกับ cannot cope with
pain คือ ทน ทนทาน หรือ bear นั่นเอง ในพจนานุกรมให้ความหมายคำนี้ไว้ว่า
bear, put up with ซึ่งใกล้เคียงกับที่เดาไว้นั่นเอง
ตัวอย่างที่ 2
An elephant is immense, comparing to a mouse.
mouse (หนู ) เป็นสัตว์ขนาดเล็ก (small)
แต่ elephant (ช้าง) เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ (big)
immense =/= small ( not small /big)
ดังนั้น immense = big
1.5 การเดาคำศัพท์โดยดูจากคำเชื่อมที่แสดงตัวอย่าง (Examplification)
คำเชื่อมเหล่านี้ ได้แก่
e.g./for example
for instance such as
like ex.
as follows
ตัวอย่างที่ 1
Do you participate in one of the more popular avocations, such as
jogging, tennis or stamp collecting?
อธิบาย avocations เป็นคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย
such as เป็นคำชี้แนะ หรือคำสัญญาณ
jogging, tennis, stamp collecting เป็นตัวอย่างที่ผู้เขียนยกขึ้นมา
เพราะฉะนั้น avocations ก็คือ งานอดิเรก (hobbies) ทั้งนี้เพราะ jogging
(การวิ่งเหยาะ ๆ) tennis และ stamp collecting เป็นงานอดิเรกทั้งสิ้น
ตัวอย่างที่ 2
When you arrange the condiment shelf, put the salt and pepper next
the paprika.
อธิบาย condiment เป็นคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย
salt and pepper เป็นตัวอย่างที่ผู้เขียนยกขึ้นแสดง
ดังนั้น condiment ก็คือ เครื่องปรุงรส ทั้งนี้เพราะ salt (เกลือ) และ pepper
เป็นเครื่องปรุงรสอาหาร
-------------------------------------
1.6 การเดาคำศัพท์โดยดูจากคำเชื่อมที่บอกการอธิบายสาเหตุ
และความเป็นเหตุเป็นผล (Cause and Effect or Result)
คำเชื่อมเหล่านี้ ได้แก่ because since
as now that
for because of
owing to due to
on account of therefore
as a result so
that is why hence
ตัวอย่างที่ 1 The flowers bloomed earlier but are languishing now because of
the heat and lack of rain .
cause (สาเหตุ) = the heat and lack of rain (ความร้อนและขาดฝน)
effect (ผล) = The flowers are languishing (ดอกไม้จึง languishing)
ตัวแนะ = because of
ดังนั้น languishing จึงน่าจะมีความหมายว่าเหี่ยวเฉา ( withered)
เพราะความร้อนและขาดฝน
ตัวอย่างที่ 2 Travellers needed food and shelter for the night, so inns were
built and markets opened cause (สาเหตุ) = Travellers needed food and shelter for
the night effect (ผล) = inns were built and markets opened
ตัวแนะ = so
ดังนั้น shelter จึงแปลว่าที่พักอาศัย ( a place to live in)
นักท่องเที่ยวต้องการอาหาร และที่พัก ดังนั้นจึงมีการสร้าง
โรงแรมและที่พัก
2. การเดาคำศัพท์โดยดูจากเครื่องหมายวรรคตอน (Punctuation)
1. เครื่องหมาย , (comma) 2. เครื่องหมาย -- (dash)
3. เครื่องหมาย : (colon) 4. เครื่องหมาย ( ) (parentheses)
คำหรือข้อความที่อยู่หลังเครื่องหมายตามข้อ 1 - 3 หรืออยู่ในวงเล็บ
ตามข้อ 4 บอกความหมายหรือให้ตัวอย่างคำหรือข้อความที่อยู่ข้างหน้า
ตัวอย่างที่ 1
Deglutition, or swallowing, moves food from the mouth to the stomach.
ประโยคนี้ข้อความที่ตามหลังเครื่องหมาย , (comma) จะอธิบายคำที่มาข้างหน้า
คือ Deglutition ว่ามีความหมายเดียวกับ swallowing (กลืน) สำหรับประโยคนี้
อาจสังเกตตัวแนะ ", or" ร่วมด้วยก็ได้ว่า คำที่มาข้างหน้า ", or" จะมี
ความหมายใกล้เคียงกับคำที่ตามมาหลัง ดังนั้นสรุปได้ว่า
Deglutition คือ swallowing (กลืน) นั่นเอง
ตัวอย่างที่ 2
Are you averse --opposed to the court decision.
ประโยคนี้ข้อความที่ตามหลังเครื่องหมาย --(dash) จะอธิบายคำที่มาข้างหน้า
คือ averse ดังนั้นพอจะสรุปได้ว่า averse คือ opposed หรือ ต่อต้าน หรือ
ตรงข้ามนั้นเอง
ตัวอย่างที่ 3
Cleaning up waterways is an enormous task: the job is so large, in fact, that the
government may not be able to save some of the rivers and lakes which have been
polluted.
ประโยคนี้เมื่อเห็นเครื่องหมาย : (colon) ผู้อ่านจะทราบความสัมพันธ์ของ
ทั้งสองข้อความทันทีว่า สิ่งที่มาข้างหน้าจะมีความหมายใกล้เคียงหรือเท่ากับสิ่งที่
ตามมาข้างหลัง ดังนั้น enormous task ก็คือ the job (that) is so large (งานใหญ่)
นั่นเอง
ตัวอย่างที่ 4
Catching crooks with pilfered items is indeed difficult; thieves do not often
hold on to the stolen goods.
คำว่า pilfered ในข้อความแรกควรจะมีความหมายใกล้เคียงกับคำในข้อความ
ข้างหลัง pilfered items คือสิ่งของที่ถูก pilfered โดยโขมย (crooks) ก็ควรมี
ความหมายเหมือนกับ stolen goods (ของที่โขมยมา) นั่นเอง ดังนั้นสรุปได้ว่า
pilfered คือ stolen
ตัวอย่างที่ 5
Here are several comments about the pros and cons (advantages and disadvantages)
of buying a second-hand car from a dealer.
ในที่นี้มีคำในวงเล็บตามหลังคำว่า pros and cons ทำให้เดาได้ว่า pros
น่าจะแปลว่า advantages ข้อดี และ cons คือ disadvantages ข้อเสียของการซื้อรถ
ใช้แล้ว
....................................... ..................................
3. การเดาคำศัพท์โดยดูจากเนื้อความหรือข้อความที่อยู่รอบ ๆ คำนั้น (context)
ขั้นตอนในการเดาคำศัพท์โดยใช้เนื้อความรอบ ๆ หรือบริบท มีดังนี้ 1. ดูประเภทของคำ (part of speech) ว่าเป็น noun, verb, adjective หรือ adverb
เป็นต้น 2. พิจารณาความสัมพันธ์ของคำที่ไม่ทราบความหมายกับคำต่าง ๆ ในประโยคนั้น เช่น ถ้าคำที่ไม่ทราบเป็น noun ลองดูว่ามีคำ adjective ขยายบ้างไหม หรือมี verb ตัวใดเกี่ยวข้องกับ noun นั้นบ้าง หรือถ้าคำนั้นเป็น verb ก็ดูความสัมพันธ์กับ noun ใดบ้าง และมี verb ขยายหรือไม่
3.พิจารณาความสัมพันธ์ของข้อความหรือประโยคที่มีคำซึ่งไม่ทราบความหมายนั้น
กับข้อความ หรือ ประโยคอื่น ๆ บางครั้งความสัมพันธ์ของประโยคเหล่านี้อาจมีคำเชื่อม เช่น but, because, like, i.e.ให้เห็นชัดเจนแต่บางครั้งเมื่อไม่มีอาจต้องพิจารณา
ความสัมพันธ์เอาเองว่า มันเป็นข้อความที่เป็นเหตุเป็นผลกัน หรือคล้อยตามกัน หรือขัดแย้งกัน เป็นต้น 4. ใช้ข้อมูลที่ได้จากข้อ 1-3 มาพิจารณาความหมายของคำศัพท์นั้น 5. เมื่อได้ความหมายแล้ว ควรตรวจสอบทบทวนอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าความหมายนั้น
ใกล้เคียงความจริงที่สุด ด้วยการทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ 5.1 ดูว่าคำหรือข้อความที่เดาได้นั้นเป็นคำประเภทเดียวกับคำศัพท์ตัวนั้น
หรือเปล่า เช่น เป็น noun, verb เหมือนกันหรือเปล่า ถ้าไม่เหมือนกัน
แสดงว่าคงต้องมีอะไรผิดสักอย่าง
5.2 ให้ลองแทนคำศัพท์นั้นด้วยคำที่เดามาได้ถ้าทำให้ประโยคนั้นมีความหมาย
ดีแสดงว่า คำที่เดามาได้คงจะใช้ได้แล้ว
ลองดูตัวอย่างต่อไปนี้เพื่อฝึกขั้นตอนในการเดาความหมายของคำศัพท์
ตัวอย่าง
This butter was out of the refrigerator too long; it smells bad
and must be rancid.
สมมติคำว่า rancid คือศัพท์ตัวที่ไม่ทราบความหมาย ลองฝึกการเดา
ตามขั้นตอน ดังนี้
1. ดูประเภทของคำ rancid เป็นคำ adjective เพราะตามหลัง verb to be
2. ดูว่าเกี่ยวข้องกับคำอื่น ๆ ในประโยคอย่างไร ในที่นี้ rancid เป็นคำ
adjective บอกสภาพของเนย (butter)
3. ดูความสัมพันธ์ของข้อความที่สอง (it smells bad and must be rancid)
กับข้อความแรก (This butter was out of refrigerator too long)
ทั้งสองข้อความไม่มีตัวเชื่อมให้เห็นชัดเจน แต่ดูจากความหมายรอบ ๆ
ได้ว่า เป็นเหตุเป็นผลกัน เพราะเมื่อนำเนยออกจากตู้เย็นนาน ๆ
ผลคือมันจะมีกลิ่นไม่ดีและต้อง rancid
4. เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนแล้วลองเดาความหมายดูในขั้นตอนนี้บางครั้ง
อาจใช้ประสบการณ์ช่วยด้วยก็ได้ ลองคิดดูว่าเมื่อเนยอยู่นอกตู้เย็นนาน ๆ
นอกจากมันจะอ่อนตัวลง ยังมีกลิ่นไม่ดีแล้วจะบูด เน่า หรือเสียในที่สุด
ดังนั้น rancid น่าจะมีความหมายเท่ากับ บูด เสีย หรือ bad, spoiled นั่นเอง
5. ตรวจสอบความหมายที่ได้
5.1 ดูประเภทของคำ คำที่เดาได้ว่า bad หรือ spoiled เป็นคำ adjective
เช่นเดียวกับ rancid
5.2 ลองแทนคำว่า rancid ด้วย bad หรือ spoiled ความหมายที่ออกมา
จะได้ว่า
.....it smells bad and must be bad or spoiled คือเนยที่อยู่นอกตู้เย็นนาน ๆ
จะมีกลิ่นไม่ดีและบูดเสีย ความหมายก็ใช้ได้ดี ดังนั้น อาจสรุปได้ว่า
ความหมายที่เดาได้นี้ น่าจะดีที่สุด เมื่อลองตรวจสอบจากพจนานุกรมอีกที
คำว่า rancid มีความหมายว่า decaying fat and butter; having gone bad
นับว่าความหมายที่เดาได้นั้นใกล้เคียงที่สุดแล้ว
------------------------------------------------------------
4.การเดาคำศัพท์ด้วยการวิเคราะห์ส่วนขยาย (Modifier type) บางครั้งผู้อ่านก็สามารถตีความหมายของคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยได้
ด้วยการวิเคราะห์ส่วนส่วนขยาย (modifier) ที่ปรากฏอยู่ในข้อความแวดล้อมนั้น ๆ
ส่วนขยายที่ปรากฏโดยมากมักจะมีคำขึ้นต้น เช่น who, which, where, that, with,
with out หรือวลี (phrase) ที่ขึ้นต้นด้วย verb+ing หรืออาจจะขึ้นต้นด้วย verb ช่อง 3
ตามติดคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยนั้นมา ซึ่งผู้อ่านสามารถตีความหมายของศัพท์
ที่ไม่คุ้นเคยนั้นได้ทันทีจากส่วนขยายที่บ่งบอกเพิ่มเติมไว้นี้
ตัวอย่างที่ 1
Mr. Brown is an anarchist, who think that all governments are bad.
อธิบาย
anarchist เป็นศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย
who เป็นคำชี้แนะการเริ่มต้นของส่วนขยาย
a person who think that all governments
are bad เป็นความหมายของศัพท์ไม่คุ้นเคยที่พบอยู่ในส่วนขยาย
ดังนั้น anarchist ก็คือ บุคคลที่คิดว่ารัฐบาลทุกแห่งเป็นรัฐบาลที่เลว
ที่มา http://www.learners.in.th/blog/babyboy/240928
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น